GC พลิกเกมอุตสาหกรรมพลังงาน! เดินหน้าผลิต SAF ด้วยเทคโนโลยี Co-Processing ต้นทุนต่ำ ทำได้จริง ขยายสู่ตลาดเคมีภัณฑ์ชีวภาพครบวงจร ผลิต SAF เชิงพาณิชย์ได้ภายใน 1 ปี ลงทุนเพียง 160 ล้านบาท พร้อมต่อยอดสู่ Bio-Chemicals และ Bio-Polymers รับกระแสเศรษฐกิจหมุนเวียนและตลาดคาร์บอนต่ำที่เติบโตทั่วโลก
ทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า GC กำลังเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านเคมีภัณฑ์คาร์บอนต่ำระดับโลก ด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ผ่านเทคโนโลยี Co-Processing ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil – UCO) ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ และดำเนินการได้จริงภายในเวลาเพียง 1 ปี

Co-Processing: เร็วกว่า ลงทุนน้อยกว่า แต่ได้มากกว่า
โครงการ SAF ของ GC ถือเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ผลิตเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานโรงกลั่นเดิมร่วมกับนวัตกรรมการแปรรูปแบบ Co-Processing ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลอย่าง ISCC CORSIA และ ISCC PLUS ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป
ในระยะแรก GC มีกำลังการผลิต SAF อยู่ที่ 6 ล้านลิตรต่อปี และมีแผนขยายกำลังการผลิตอีก 4 เท่า สู่ระดับ 24 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งจะช่วยลด CO2 ได้ถึง 60,000 ตันต่อปีในระยะที่สอง พร้อมกันนี้ ยังได้สร้างระบบนิเวศครบวงจรตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทั้งการเก็บน้ำมันใช้แล้วจากครัวเรือน ร้านอาหาร โรงแรม และชุมชน ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง OR, การบินไทย และบางกอกแอร์เวย์ส

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 บางกอกแอร์เวย์สได้เริ่มใช้น้ำมัน SAF ของ GC ในเที่ยวบินพาณิชย์จริง สะท้อนความพร้อมของ GC ในการพัฒนาเชื้อเพลิงสะอาดสู่เชิงพาณิชย์ ภายใต้แคมเปญ “Low Carbon Skies”
นอกจาก SAF เทคโนโลยี Co-Processing ยังสามารถยืดหยุ่นในการผลิตไปสู่เคมีภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-Chemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bio-Polymers) เช่น Bio-Naphtha, Bio-PE, Bio-MEG, Bio-Propylene, Bio-Butadiene และ Bio-PTA ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ยาง ยานยนต์ และสิ่งทอ ทั้งยังผ่านการรับรองมาตรฐาน ISCC Plus รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทั่วโลก
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ความยืดหยุ่นในการผลิต GC สามารถเลือก “เส้นทาง” ของวัตถุดิบชีวภาพที่เข้าสู่โรงกลั่นว่าจะนำไปเป็น SAF สำหรับอุตสาหกรรมการบิน หรือแปรรูปต่อเป็น เคมีภัณฑ์ชีวภาพ เช่น Bio-Naphtha และ Bio-Polymers ที่ตอบโจทย์ตลาดวัสดุยั่งยืน

GC ยังมุ่งขยายเครือข่าย Circular Economy ผ่านธุรกิจรีไซเคิล เช่น ขวด PET รีไซเคิล 42,000 ตันต่อปี และโรงงาน PLA ที่จังหวัดนครสวรรค์ซึ่งมีความคืบหน้าเกิน 90% รวมถึงพัฒนาระบบจัดเก็บน้ำมันใช้แล้วจากชุมชนในระยอง และเตรียมขยายเพิ่มอีก 12 แห่งทั่วประเทศ
ในอนาคต คาดว่าอุตสาหกรรมการบินจะมีข้อบังคับการใช้ SAF ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เช่น 1-2% ของปริมาณน้ำมันเครื่องบินทั่วประเทศที่สูงถึง 6,000 ล้านลิตรต่อปี ส่งผลให้ความต้องการ SAF เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่ง GC มองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการขยายตลาด และยกระดับบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตพลังงานสะอาดในระดับภูมิภา
สร้างระบบนิเวศครบวงจร ตั้งแต่ขวดน้ำ – น้ำมันทอด – สู่ฟ้า
นอกจาก Co-Processing GC ยังเดินหน้าสร้างระบบนิเวศของความยั่งยืนแบบครบวงจร ทั้ง…
- พลาสติกรีไซเคิล (PET Recycle) กำลังผลิต 42,000 ตัน/ปี
- Bio-Polymers (PLA) ที่โรงงานนครสวรรค์
- Oleo Chemicals สำหรับผลิตภัณฑ์อุปโภค
“Co-Processing” = โมเดลแห่งอนาคต
ความสำเร็จของ GC ในการใช้ Co-Processing ไม่ใช่แค่ “เทคโนโลยีใหม่” แต่คือโมเดลธุรกิจที่ ยืดหยุ่น ต้นทุนต่ำ ทำได้จริง และมีอนาคต ตอบโจทย์ Net Zero และเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมส่งเสริมประเทศไทยให้ก้าวสู่ศูนย์กลางการผลิตเชื้อเพลิงและเคมีภัณฑ์ชีวภาพในระดับภูมิภาค

