ไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่ “สินค้ายั่งยืน” หรือ “สินค้ารักษ์โลก” กลายเป็นตลาดที่นักธุรกิจต้องจับตามอง — ทั้งจากแรงขับเคลื่อนของผู้บริโภค นโยบายรัฐ และโอกาสส่งออกในซัพพลายเชนสีเขียว
ตลาดสินค้ารักษ์โลกในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละหมวดมีจังหวะการเติบโตและปัจจัยขับเคลื่อนที่ต่างกัน
- ขนาดตลาดและการเติบโต — แยกตามหมวด
สินค้าออร์แกนิก เป็นหนึ่งในเซ็กเตอร์ที่เห็นการขยายตัวชัดเจน — มีการประเมินว่า ตลาดออร์แกนิกของไทยจะขยายไปสู่ระดับราว US$300M+ หรือราว เกือบ 1 หมื่นล้านบาท ภายในปลายทศวรรษนี้ และสินค้าออร์แกนิก ยังเติบโตด้วย CAGR (Compound Annual Growth Rate) หรือ “อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น” ประมาณ 6–7% ตามแหล่งข้อมูลเชิงตลาดหลายแห่ง
ขณะเดียวกัน บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายและกระดาษบรรจุภัณฑ์ในไทยก็ขยายตัวตามมาตรการลดใช้พลาสติกและความต้องการจากแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์
ส่วนวัสดุก่อสร้างสีเขียวและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด รวมถึง EV supply chain ตลาดมีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลออกนโยบายและโครงการสนับสนุน

- พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นตัวเร่งสำคัญ
งานสำรวจในไทยชี้ว่า ผู้บริโภคพร้อมจ่าย “พรีเมียม” สำหรับสินค้าที่มีความยั่งยืน — ตัวอย่างเช่นผลสำรวจของ PwC ระบุว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบในไทยยอมจ่ายสูงขึ้นราว ๆ 12% สำหรับสินค้าสีเขียว ซึ่งบ่งชี้ว่ามีช่องว่างสำหรับแบรนด์ที่สามารถสื่อสารความยั่งยืนได้ชัดเจนและโปร่งใส นอกจากความพึงพอใจส่วนบุคคลแล้ว ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับแหล่งที่มา บรรจุภัณฑ์ และการรับรองมาตรฐาน
ปัจจุบันพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกซื้อสินค้าที่มีความยั่งยืน และการสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม เพราะไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญกับผลกำไร แต่ยังต้องคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมสังคมที่ยุติธรรม และการปฏิบัติตามจริยธรรมที่ดี หากธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว
ผู้บริโภคในปี 2025 มองหาแบรนด์ที่สามารถให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส เกี่ยวกับกระบวนการผลิตและแหล่งที่มาของวัสดุ ทั้งนี้ธุรกิจควรปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัสดุและกระบวนการที่ไม่ทำลายโลก

- นโยบายและปัจจัยภาครัฐ
รัฐบาลไทยผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG Model หรือ โมเดลเศรษฐกิจใหม่เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ด้านไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy), เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)
พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังมีการปรับนโยบายด้านพลังงานสะอาด รวมถึงการทดลองตลาดเทรดไฟฟ้าสะอาด ทำให้ภาคพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง มีโอกาสรับการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยนโยบาย EV ที่ปรับเพื่อชวนการลงทุนและส่งเสริมการส่งออก ยังช่วยขยายซัพพลายเชนสีเขียวในประเทศได้อีกด้วย
- โอกาสเชิงธุรกิจ — จุดที่ควรจับตามอง
แพลนต์เบทขยายตัว : โดยแบรนด์อาหารที่ขยายไลน์ออร์แกนิก หรือ แพลนต์เบท ที่มีความโปร่งใสเรื่องแหล่งที่มา จะได้เปรียบในตลาดที่ผู้บริโภคที่ยอมจ่ายพรีเมียม โดยมูลค่าตลาดแพลนต์เบทปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 45,000 ล้านบาท (หรือประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) มีอัตราการเติบโต (CAGR) ราว 10% ในปี 2025
ปัจจัยที่ขับเคลื่อนให้ตลาดขยายตัว มีแนวโน้มมาจากผู้บริโภค ที่หันมาใส่ใจสุขภาพ สวัสดิภาพสัตว์ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือกลุ่ม flexitarian หรือ ผู้ที่รับประทานอาหารจากพืชเป็นหลัก แต่ยังคงรับประทานอาหารจากสัตว์บางครั้ง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เติบโตได้ต่อเนื่องแตะระดับ 13,000-16,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 8-10% ของมูลค่าบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด ภายใต้เงื่อนไขกลไกสนับสนุนด้านการผลิต และการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

การขยายตัวของตลาดและโอกาสทางธุรกิจของสิน้ากลุ่มรักษ์โลก ถูกขับเคลื่อนโดยการรับรู้ของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว, กฎหมายของรัฐบาลที่ห้ามการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว, และความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรม FMCG, อาหารและเครื่องดื่ม, และอีคอมเมิร์ซ
อาคาร – วัสดุก่อสร้างสีเขียว : นักลงทุนและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พิจารณาวัสดุก่อสร้างสีเขียวที่ลดค่าใช้จ่ายระยะยาวและตอบโจทย์มาตรฐานอาคารเขียวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจะเห็นได้จากดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ที่ออกมานำเสนอจุดขายโครงการที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และการอยู่อาศัยที่ดีต่อสุขภาวะ
ปัจจุบันผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายใหญ่อย่าง เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ได้นำแนวทาง “Inclusive Green Growth” มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จนทำให้สินค้าจำนวนกว่า 50% ของสินค้าทั้งหมด ได้การรับรองค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งประเทศไทย (TGO) และได้รับการรับรองฉลากสิ่งแวดล้อม Environmental Product Declaration (EPD) สำหรับกลุ่มสินค้าไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดและ วัสดุตกแต่งทั้งหมด

ณรงค์เวทย์ วจนพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือ SCG กล่าวว่า การสร้าง “Green Building” มีต้นทุนที่สูงขึ้นในช่วงเริ่มต้น และนี่คือจุดที่ผู้เล่นใน value chain ต้องร่วมมือกัน ทั้ง ผู้ผลิต พัฒนาโครงการ ผู้บริโภค และภาครัฐ เพื่อปรับวิธีคิดใหม่ จาก “ค่าใช้จ่าย” เป็น “การลงทุนระยะยาว”
ตลาดอาคารเขียวและวัสดุก่อสร้างในปี 2568 ถือว่ายังมีการเติบโตต่อเนื่อง จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐและการฟื้นตัวของภาคเอกชน แม้จะยังไม่มีการระบุตัวเลขมูลค่าตลาดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับตลาด “อาคารเขียว” โดยตรง แต่คาดว่าวัสดุก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับอาคารเขียว เช่น วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการก่อสร้างที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จะได้รับประโยชน์จากการที่โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จะเพิ่มความเข้มงวดด้านข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- ความเสี่ยงและสิ่งที่ต้องติดตาม
ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อ และต้นทุนวัตถุดิบ อาจหน่วงการเติบโตของสินค้าพรีเมียมได้ นอกจากนี้ กฎระเบียบใหม่ เช่น มาตรการด้านพลาสติกหรือการรับรองมาตรฐาน จะเปลี่ยนต้นทุนการผลิต—ทั้งเป็นโอกาสและความท้าทายสำหรับธุรกิจที่ไม่เตรียมตัว
เพราะฉะนั้น สามารถเมินได้ว่า ตลาดสินค้า “รักษ์โลก” ในไทย กำลังเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มั่นคง — โดยหมวดออร์แกนิก บรรจุภัณฑ์ย่อยสลาย วัสดุก่อสร้างสีเขียว และเทคโนโลยีพลังงาน เป็นพื้นที่ที่มีโอกาสชัดเจน ผู้ประกอบการที่สามารถพิสูจน์คุณค่าทางสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคจะได้เปรียบ โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคหลายส่วน พร้อมจ่ายพรีเมียมเพื่อสินค้าที่ยั่งยืนมากขึ้น

