ในวันที่อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยกำลังเผชิญภาวะหดตัว หลายโรงงานทยอยปิด ท่ามกลางแรงกดดันจากต้นทุน การแข่งขัน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ PASAYA ยังคงยืนหยัดได้ ด้วยแนวทางการบริหารที่ไม่เพียงแต่รักษาองค์กรให้อยู่รอด แต่ยังสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม ผ่านแนวคิด ESG + Innovation ที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอขององค์กร
“อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยเสื่อมถอยลงมาต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยเฉพาะหลังปี 2011 โรงงานจำนวนมากต้องปิดตัว ปัจจุบันเหลือราว 30% ที่ยังประคองตัวอยู่ได้ แต่ก็ล้วนเปราะบาง เพราะไม่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายรัฐอย่างที่ควร”
— ชเล วุทธานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิ่งทอซาติน จำกัด (PASAYA)
แต่สิ่งที่พา PASAYA มาถึงปีที่ 23 ได้อย่างมั่นคง คือการตัดสินใจ “เปลี่ยนตัวเอง” ตั้งแต่วันที่เห็นสัญญาณความไม่ยั่งยืนจากการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงอย่างเดียว

“จีนลุกขึ้นมาช่วงปี 2000 ถ้าเรายังทำ OEM หรือรับจ้างผลิตเพียงอย่างเดียว คงไปไม่รอด ผมเลยตัดสินใจพา PASAYA สร้างแบรนด์ของตัวเอง เน้นการออกแบบและสร้างนวัตกรรมด้านผ้า ซึ่งโชคดีที่ผมเองเป็นวิศวกรสิ่งทอ เราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีผ้าเองได้ในโรงงาน ตั้งแต่ผ้าม่านกันความร้อน ไปจนถึงผ้าเพื่อสุขภาพที่อยู่ในแผนพัฒนาปีหน้า”
เปลี่ยนโรงงานให้เป็น “โมเดลสีเขียว”
PASAYA เป็นหนึ่งในโรงงานสิ่งทอไทยไม่กี่แห่งที่ลงทุนติดตั้ง โซล่าเซลล์ ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ปี 2021 เพื่อผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง ลดต้นทุน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ

“ตอนนี้เราผลิตไฟฟ้าได้เดือนละประมาณ 350,000 หน่วย จากการใช้ทั้งหมด 800,000 หน่วยต่อเดือน เป้าหมายคือจะผลิตให้ได้ 800,000 หน่วยในอีกไม่กี่ปี จะเท่ากับว่าเราสามารถพึ่งพาพลังงานสะอาดได้ 100%”
โรงงาน PASAYA ยังได้รับการรับรองฉลากเขียวจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นหนึ่งในต้นแบบ “โรงงานสีเขียว” ที่มีทั้งการใช้พลังงานสะอาด วัตถุดิบรีไซเคิล และกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ผู้นำท่านนี้ มีแนวคิดที่จะรวบรวมองค์ความรู้และวิธีการที่ใช้พัฒนาโรงงานสีเขียวแห่งนี้ เป็นวิทยาทานแบ่งปันความรู้ให้กับวงการอุตสาหกรรมต่างๆ ที่สนใจ โดยจะทำให้เห็นว่าพลังงานทดแทนที่มาจากโซล่าเซลล์ สามารถแก้ปัญหาธุรกิจและแก้ปัญหาวิกฤติโลก ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้

ผ้าไม่ใช่แค่ผ้า แต่เป็นนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ
PASAYA องค์กรที่ยืนหยัดมานานกว่า 23 ปี ในขณะที่ดำเนินธุรกิจด้านสิ่งทอ เปิดโรงงานมาแล้วมากกว่า 40 ปี ด้วยการเผชิญกับความท้าทายของอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ถดถอย และสภาพเศรษฐกิจที่ขาดความมั่นคง หัวใจหลักที่ “ชเล” ใช้ในการขับเคลื่อนอองค์กรให้เติบโตได้ทุกปี นอกเหนือจากการบริหารจัดการโรงงานสู่โรงงานสีเขียว ก็คือ “นวัตกรรม” ที่ดำเนินการมาออย่างต่อเนื่อง เพราะเขามีความรู้ความสามารถด้านวิศวกรรมสิ่งทอ จึงช่วยให้มองเห็นโอกาสและทางรอด
ล่าสุด “ชเล” เล่าให้ฟังว่า กำลังพัฒนาผ้าที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาโรค เช่น โรคผิวหนัง หรือการนอนไม่หลับ โดยฝังตัวยาระดับนาโนไว้ในเนื้อผ้า ซึ่งสามารถซักและเติมสารได้ซ้ำ ผ่านการรับรองจาก อย.
“เราเชื่อว่าผ้าคือสิ่งที่อยู่ติดตัวมนุษย์ทุกวัน ถ้ามันสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพได้ จะเป็นการสร้างมูลค่าใหม่ให้กับอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”

นอกจากนี้ ในปี 2026 PASAYA ยังเตรียมออกนวัตกรรมด้านสุขภาพสำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์ตลาดใหม่ๆ ในยุคที่ทุกคนใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
จากแบรนด์สู่ภารกิจเพื่อสังคม
ไม่เพียงแค่การพัฒนานวัตกรรม และการดำเนินธุรกิจสู่โลกสีเขียว ในมุมของสังคม (Social) “ชเล” ก็เดินหน้าต่อเนื่อง นอกจากการืำกิจกรรมเพื่อสังคม การบริจาคเงินทุนช่วยเหลือต่างๆ แล้ว ล่าสุด PASAYA ยังเปิดตัวโครงการพิเศษ “ศรีบูรพา 120 ปี” นำคำคมของนักคิดนักเขียนผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์ไทยมาออกแบบลงบนกระเป๋ารีไซเคิล พร้อมระดมทุนสนับสนุน “กองทุนศรีบูรพา” ซึ่งขาดแคลนเงินทุนในการส่งเสริมวรรณกรรมคุณภาพ
“โครงการนี้ไม่ได้ทำเพื่อผลกำไร กระเป๋าหนึ่งใบ ราคาขาย 1,400 บาท เราบริจาค 680 บาทเข้ากองทุน นี่คือโมเดล ESG ที่คนทั่วไปก็สามารถมีส่วนร่วมได้ ทั้งได้ของใช้จริง และได้สนับสนุนคุณค่าทางปัญญา”
การบริหารแบบ “พอเพียงแต่ไม่หยุดนิ่ง”
แม้จะต้องบริหารท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน แต่ PASAYA ยังคงเดินหน้า ลงทุนด้านนวัตกรรม พลังงานสะอาด และความยั่งยืน อย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบลงทุนราว 20 ล้านบาทต่อปี จากกระแสเงินสดที่ยังสามารถหมุนเวียนได้ โดยเป้าหมายสูงสุดจะพยายามทำให้ได้ 10 เมกกะวัตต์ ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 200 ล้านบาท

“เรายังพอทำได้ก็ทำ ไม่หยุด เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะอยู่รอด ไม่ใช่แค่เอาตัวรอด แต่ต้องอยู่รอดอย่างมีคุณค่า”
หากคุณกำลังมองหาธุรกิจที่ไม่เพียงอยู่รอดได้ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า PASAYA คือหนึ่งในตัวอย่างที่ควรจับตา

