
WHO คาดผู้ป่วยมะเร็งเพิ่ม 76% ใน 25 ปี ภูมิคุ้มกันบำบัดจึงถูกพัฒนาเป็นนวัตกรรมใหม่ กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์มะเร็ง ลดผลข้างเคียงจากการรักษาแบบเดิม พร้อมใช้รักษามะเร็งหลายชนิด เช่น ปอด ผิวหนัง เต้านม และต่อมน้ำเหลือง
แค่ได้ยินคำว่า “มะเร็ง” ก็ทำให้หลายคนรู้สึกหวาดหวั่น เพราะนี่คือโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากทั่วโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่จะเพิ่มขึ้นกว่า 76% ภายใน 25 ปีข้างหน้า และในประเทศไทยเองพบผู้ป่วยใหม่เฉลี่ย 140,000 รายต่อปี ขณะที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 84,000 รายต่อปี ไม่เพียงส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสังคมโดยรวม
ข่าวดีคือ ปัจจุบันมี แนวทางการรักษาใหม่ที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันบำบัด” (Immunotherapy) ซึ่งถูกยกให้เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญที่สุดของการแพทย์ยุคนี้
ภูมิคุ้มกันบำบัดคืออะไร? ทำไมถึงสำคัญในการรักษามะเร็ง
ภูมิคุ้มกันบำบัด คือการรักษาที่ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งเอง แทนที่จะทำลายด้วยยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีโดยตรง จุดเด่นคือช่วยลดผลข้างเคียงที่รุนแรง และยังเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่กระจายของมะเร็ง
ทำไมต้องใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย?
เพราะปกติ ระบบภูมิคุ้มกัน มีหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมและเซลล์ผิดปกติ แต่เซลล์มะเร็งมีความฉลาด สามารถ “หลบเลี่ยง” การถูกทำลายได้ ดังนั้นนักวิจัยจึงพัฒนาเทคนิคที่จะ ปลดล็อกระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาทำงานเต็มที่อีกครั้ง
แตกต่างจากการรักษาแบบเดิมอย่างไร?
• เคมีบำบัด → ทำลายทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติ
• การฉายรังสี → มุ่งทำลายเฉพาะจุดแต่ยังมีผลต่อเนื้อเยื่อรอบๆ
• ภูมิคุ้มกันบำบัด → กระตุ้นให้ร่างกายกำจัดมะเร็งเอง จึงมีความแม่นยำและบางครั้งผลข้างเคียงน้อยกว่า

หนึ่งในวิธีที่ถูกใช้มากคือ ยากลุ่ม Immune Checkpoint Inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ “ปลดเบรก” ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ T-cells โจมตีเซลล์มะเร็งได้เต็มที่
ภูมิคุ้มกันบำบัดใช้รักษามะเร็งชนิดใดได้บ้าง?
งานวิจัยพบว่าภูมิคุ้มกันบำบัดมีประสิทธิภาพในมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) มะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งตับ ไต กระเพาะอาหาร ปากมดลูก และสามารถใช้เดี่ยวๆ หรือร่วมกับ เคมีบำบัด ยามุ่งเป้า หรือรังสีรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ผลข้างเคียงที่ต้องรู้
แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ก็ยังมีผลข้างเคียง เช่น
• ผิวหนังอักเสบ มีผื่น
• ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย
• ปอดอักเสบ ไอ เหนื่อย
• ตับอักเสบ ตัวเหลือง ตาเหลือง
• ความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ไทรอยด์ผิดปกติ
ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจเกิดในระดับเบาถึงรุนแรง จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ
ภูมิคุ้มกันบำบัดคือความหวังใหม่ของผู้ป่วยมะเร็ง
แม้จะยังไม่ใช้ได้กับมะเร็งทุกชนิด และยังต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล แต่ภูมิคุ้มกันบำบัดถือเป็นก้าวสำคัญในการรักษามะเร็ง เพราะ ใช้พลังของร่างกายเองในการสู้กับโรคร้าย
