 
                “การเลือกน้ำดื่มสะอาดอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่คือรากฐานสุขภาพในทุกวัน เพราะเพียงเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนเล็กน้อยก็อาจสะสมจนกลายเป็นโรคร้ายได้”
หลายคนอาจคิดว่า “น้ำใส ๆ” คือ “น้ำสะอาด” แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังความใสนั้น อาจซ่อนเชื้อโรคและสารพิษที่เรามองไม่เห็น? ข้อมูลจาก กรมอนามัย ปี 2565 ชี้ชัดว่า น้ำดื่มที่สุ่มตรวจทั่วประเทศกว่า 50% พบโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และกว่า 30% พบเชื้อ E. coli — สัญญาณเตือนว่าคุณภาพน้ำในไทยยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะน้ำบ่อ น้ำฝน หรือแม้แต่น้ำประปาบางพื้นที่ที่ไม่ได้ผ่านการกรองหรือฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี
เพื่อป้องกันโรคจาก “น้ำดื่มไม่สะอาด” พญ.สาวินี จิริยะสิน แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลวิมุต อธิบายถึงความเสี่ยงและวิธีดื่มน้ำให้ปลอดภัย

น้ำดื่มไม่สะอาดคืออะไร?
น้ำดื่มไม่สะอาด หมายถึง น้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคหรือสารเคมีอันตราย เช่น
- เชื้อไวรัสและแบคทีเรีย: ไวรัสตับอักเสบเอ/อี, แบคทีเรียอหิวา, ไทฟอยด์, บิดไม่มีตัว, โปรโตซัวอะมีบา
- สารเคมีและโลหะหนัก: ตะกั่ว, สารหนู, PFAS (สารเคมีตกค้างยาวนาน)
- แหล่งน้ำเสี่ยง: น้ำบ่อ, น้ำฝน, น้ำประปาที่ไม่ได้กรอง, น้ำบรรจุขวดจากแหล่งผลิตไม่น่าเชื่อถือ
โคลิฟอร์มแบคทีเรียถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญ เพราะบ่งบอกว่าน้ำอาจปนเปื้อนของเสียจากอุจจาระ ซึ่งมักมาพร้อมเชื้อโรคอื่นที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

ดื่มน้ำไม่สะอาด เสี่ยงอะไรบ้าง?
ระยะสั้น
- ท้องร่วง อาเจียน คลื่นไส้
- มีไข้ ตัวและตาเหลือง
- ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือแบคทีเรียรุนแรง
ระยะยาว
- สารเคมีสะสมในร่างกาย ทำให้ตับและไตทำงานผิดปกติ
- เสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ไทรอยด์ผิดปกติ ไขมันในเลือดสูง
- เพิ่มความเสี่ยง มะเร็งไต มะเร็งเต้านม และมะเร็งอัณฑะ
กลุ่มเสี่ยงได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เพราะร่างกายต้านเชื้อโรคได้ไม่เต็มที่
วิธีเลือกและเตรียมน้ำดื่มให้ปลอดภัย
- ต้มน้ำ: ให้น้ำเดือดอย่างน้อย 1 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคทุกชนิด
- ใช้เครื่องกรองมาตรฐาน: เช่น ระบบ RO หรือ UV ที่กำจัดเชื้อโรคและโลหะหนักได้
- เลือกน้ำบรรจุขวดจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ: ตรวจสอบวันผลิต-วันหมดอายุ และมีฉลาก อย. เก็บในภาชนะสะอาด ปิดสนิท
- หลีกเลี่ยงใช้ขวดพลาสติกซ้ำ: เพราะอาจปล่อยสารเคมีปนเปื้อน


 
         
        