SCB EIC เผย “พลังงานหมุนเวียน” สร้างจุดเปลี่ยนใหม่อุตสาหกรรมไฟฟ้าไทย ปี 2569 ชี้ โอกาสโตแรง ท่ามกลางโจทย์ท้าทายและความเสี่ยง ทั้งต้นทุน เทคโนโลยี และความชัดเจนนโยบายภาครัฐ
ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอและนโยบายตรึงค่าไฟ — ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนกลับกลายเป็นแสงสว่างเดียวที่ฉายอนาคตพลังงานสะอาดของไทย แต่ในเส้นทางสู่ Net Zero ยังเต็มไปด้วยโจทย์ใหม่ ทั้งต้นทุน เทคโนโลยี และความชัดเจนนโยบายภาครัฐ
พลังงานหมุนเวียนมาแรง รับเทรนด์โลกไฟฟ้าสะอาด
จิรวุฒิ อิ่มรัตน์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวว่า ปี 2569 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงานไทย เมื่อ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นที่สุดในรอบหลายปี จากแผนติดตั้งโรงไฟฟ้าใหม่กว่า 1,103 เมกะวัตต์ (MW) มูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 52,000 ล้านบาท
ในระยะกลาง (ปี 2570–2573) ยังมีแผนลงทุนเฉลี่ยปีละ 43,000–56,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยเฉพาะจากรอบการรับซื้อ “Big Lot 1” และ “Lot 2” รวมกว่า 7.3 กิกะวัตต์ (GW)
แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคอุตสาหกรรมที่เร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดผ่านระบบ SPP Direct, Private PPA และ IPS-Renewable โดยมีการติดตั้ง Solar Rooftop เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ภาครัฐก็เร่งขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero 2593 (2050) ด้วยการเตรียมอนุญาตให้ใช้ Direct PPA และ Third Party Access (TPA) ในอนาคต
ฟอสซิลต้องปรับตัว – ค่าไฟลดแต่กำไรหด
ในทางกลับกัน โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเผชิญแรงกดดันจากนโยบายรัฐที่พยายาม ตรึงค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปี 2569 ไว้ราว 3.93 บาทต่อหน่วย ตามมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้และผลตอบแทนของผู้ผลิตไฟฟ้าแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ดี ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง — จากราคาเฉลี่ยแหล่ง JKM ที่คาดว่าจะลดจาก 11.3 เหรียญสหรัฐ/ MMBTU ในปี 2569 เหลือ 8.7 เหรียญสหรัฐในปี 2572 — ยังช่วยพยุงอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

“โอกาสทอง” ของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
นักวิเคราะห์มองว่า โอกาสการเติบโตของธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในช่วงปี 2569–2573 มีแนวโน้มสูงจาก 3 ปัจจัยหลัก
1. ความต้องการไฟฟ้าสะอาดจากอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center), AI & Cloud Computing และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการพลังงานคาร์บอนต่ำเป็นเงื่อนไขหลักของซัพพลายเชนระดับโลก
2. เทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และเทคโนโลยีลมรุ่นใหม่ ซึ่งเปิดทางให้โรงไฟฟ้าทำกำไรได้แม้ในภาวะราคาขายไฟลดลง
3. การเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าในอนาคต
หากรัฐบาลเร่งออกมาตรการ TPA และ Direct PPA อย่างเป็นรูปธรรม จะเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหม่เข้าสู่ตลาดได้โดยตรงโดยไม่ต้องพึ่งพาโครงข่ายของรัฐ
“ความเสี่ยง” ก็ยังรออยู่ข้างหน้า
แม้โอกาสจะสดใส แต่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนก็ยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากหลายด้าน
• ความชัดเจนนโยบาย PDP ฉบับใหม่ ที่ยังอยู่ระหว่างจัดทำ ซึ่งจะกำหนดทิศทางการรับซื้อไฟฟ้าและสัดส่วนพลังงานในระบบ
• การกำหนดราคาซื้อไฟฟ้า (Feed-in Tariff) ที่อาจปรับลดลงตามเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งลดต้นทุนให้แข่งขันได้
• การอนุมัติและขั้นตอนกฎระเบียบ ที่ยังซับซ้อน เช่น การขอ Direct PPA และสิทธิ์เชื่อมต่อสายส่ง ซึ่งอาจล่าช้าและกระทบต่อการลงทุน

ภาครัฐถือกุญแจสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero
หากประเทศไทยต้องการบรรลุเป้าหมาย “ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593” รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินการใน 3 มาตรการหลัก
1. เปิดให้เอกชนเข้าถึงไฟฟ้าสะอาดอย่างเป็นระบบ ผ่านการอนุญาต TPA และ Direct PPA แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากนิคมอุตสาหกรรม
2. ปรับแผน PDP ให้ทันเทคโนโลยีและเศรษฐกิจจริง โดยทบทวนสมมติฐาน GDP, ประสิทธิภาพพลังงาน และแนวโน้มการผลิตไฟฟ้าใช้เอง
3. ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าใช้เองในครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม ด้วยแรงจูงใจทางภาษีและระบบอนุญาตที่ง่ายขึ้น เช่น มาตรการ ลดภาษีติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 200,000 บาท และ One-stop service สำหรับการยื่นขอ
พลังงานหมุนเวียน – โอกาสใหม่บนสมรภูมิที่ต้องปรับตัว
ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนไทยกำลังอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วย “โอกาสสีเขียว” แต่ก็ต้องแข่งขันอย่างเข้มข้นในตลาดที่เริ่มเปิดเสรีมากขึ้น การปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีและนโยบายรัฐจึงเป็น “เกมชี้ชะตา” ของผู้ประกอบการในยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ที่ไม่มีใครสามารถยืนอยู่กับที่ได้อีกต่อไป

