“ปฏิรูปวงการที่นอนเก่าแก่เกือบศตวรรษ” – คุยกับ ‘นพดล เตชะพันธ์งาม’ ผู้ปั้น NornNorn โมเดลธุรกิจเช่า-คืน-รีไซเคิล พลิกเกมสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน
ในวันที่คนส่วนใหญ่ยังคิดว่า ‘ที่นอน’ เป็นสินค้าซื้อแล้วใช้จนพังแล้วทิ้ง มีคนหนึ่งที่เห็นช่องว่างมหาศาลและเชื่อว่าอุตสาหกรรมที่นอนควรถูกปฏิรูปอย่างจริงจัง เขาคือ นพดล เตชะพันธ์งาม หรือ “แนป” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ NornNorn บริษัท เซอร์กูลาริตี้ จำกัด สตาร์ตอัพไทยที่สร้างโมเดล เช่า-ใช้-คืน-รีไซเคิล ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
นี่ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่เป็น การสานต่อมรดกครอบครัวในอุตสาหกรรมที่นอนกว่า 95 ปี และปรับวิสัยทัศน์ให้เข้ากับยุคที่โลกต้องการความยั่งยืนมากกว่าที่เคย
จากรุ่นคุณทวดถึงรุ่นที่ 4 – เมื่อ Legacy ต้องก้าวสู่ New Vision
“ครอบครัวผมทำธุรกิจที่นอนมาตั้งแต่รุ่นคุณทวด เริ่มจากซื้อมาขายไปที่นอนนุ่น” แนปเล่าอย่างภูมิใจ ว่า
- รุ่นคุณทวด: ซื้อ-ขายที่นอนนุ่น
- รุ่นคุณตา: ผลิตเองและบุกเบิกที่นอนฟองน้ำ-สปริง ก่อตั้งแบรนด์ Daring
- รุ่นพ่อแม่: สร้างแบรนด์ Springmate เจาะตลาดโรงแรมและรีสอร์ท
- รุ่นแนป: เข้ามาร่วมธุรกิจครอบครัวปี 2005 ก่อนจะก่อตั้ง NornNorn

“ผมเชื่อว่าธุรกิจควรเป็น พลังแห่งความดี (A Force for Good) ถ้าเราจะอยู่ในตลาดไปอีก 100 ปี เราต้องเปลี่ยนจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปสู่การตอบแทนคืนให้ธรรมชาติและสังคม”
3 Pain Points ที่เปลี่ยนแนวคิดธุรกิจ
ตลอด 10 ปีที่ทำธุรกิจที่นอน แนปพบปัญหาใหญ่ 3 ข้อที่แทบไม่มีใครอยากแตะ
1. คือ การเข้าถึงที่นอนคุณภาพ: หลายครัวเรือนและโรงแรมขนาดเล็กไม่มีงบพอซื้อ
2. ปัญหาการทิ้ง: ทั่วโลกมีที่นอนถูกทิ้งปีละกว่า 150 ล้านชิ้น ส่วนใหญ่ถูกฝังกลบหรือเผา
3. การรีไซเคิล: แทบไม่มี เพราะไม่คุ้มค่าใช้จ่าย
“เราเลยรวมทั้ง 3 ปัญหานี้มาสร้างโมเดลธุรกิจใหม่”

NornNorn: ที่นอนแบบ Subscription แรกของไทย
โมเดล Product as a Service ของ NornNorn ให้ลูกค้าเช่าที่นอนในราคาหลักร้อยต่อเดือน
B2C: เริ่มต้น 112 บาท/เดือน – คุ้มกว่าซื้อ
B2B: เริ่มต้น 89 บาท/เดือน – เหมาะกับโรงแรมขนาดเล็กหรือธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
สิ้นสุดสัญญาเช่า: ที่นอนจะถูกรับคืนและเข้าสู่กระบวนการ แยกชิ้นส่วน-รีไซเคิล โดยวัสดุทุกชิ้นตั้งเป้าให้อยู่ในวงจรอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันรายได้มาจาก B2B และ B2C ในสัดส่วน ครึ่งๆ กัน แต่ ในเฟสถัดไปจะเน้น B2C เป็นหลัก เพราะ B2C มีความคุ้มค่าทางการเงินชัดเจนกว่า เนื่องจากค่าเช่ารวมตลอดสัญญาอาจเท่ากันหรือน้อยกว่าการซื้อที่นอนใหม่ และลูกค้าทราบว่าที่นอนมีอายุการใช้งานจำกัด ส่วน B2B ค่าเช่ามักจะสูงกว่าการซื้อ ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นโรงแรมหรือธุรกิจขนาดเล็กที่มีเงินทุนจำกัด หรือเป็นธุรกิจที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมจริงๆ นอกจากนี้ B2C ยังมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระน้อยกว่า เพราะลูกค้าเช่าเพียง 1 ชิ้น

นวัตกรรมการเงินสีเขียว – จาก Green Bond สู่ Investment Token
NornNorn เป็นสตาร์ตอัพไทยรายแรกที่ออก หุ้นกู้สีเขียว (Green Bond) และต่อยอดสู่ Digital Investment Token ที่แบ็กด้วยสัญญาเช่า (Subscription Agreement) ผ่าน Blockchain ทำให้ผู้ลงทุนติดตามได้ว่า เงินที่ลงทุนสร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไร และยังสร้าง Carbon Credit / Plastic Credit กลับคืนสู่ระบบ
“ใช้ Blockchain ในการออก และมีลักษณะคล้าย “Mini Bond”… Token ที่ออกมานี้ “ถูกแบ็คด้วยสัญญาใช้บริการสินค้า หรือ Subscription Agreement ที่มีกับลูกค้า” โดยมีระยะเวลาสัญญาเช่า “12-120 เดือน” รายได้ค่าเช่ารายเดือนจะถูกนำมาจ่ายคืน Mini Bond พร้อมผลตอบแทนให้กับนักลงทุน กลไกนี้เรียกว่า “Debt on Demand” ซึ่งสามารถทำได้ “อย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย” ซึ่งนับว่าก้าวหน้ากว่าบางประเทศในยุโรป สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลี โดย Digital Investment Token นี้เริ่มออกเมื่อ “ไตรมาส 1 ปีที่แล้ว” และโมเดลพร้อมที่จะขยาย”
ตัวเลขวิทยาศาสตร์ยืนยัน – ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 31%
ด้วยการทำ Life Cycle Assessment (LCA) ร่วมกับ สวทช. และทุนจาก บพข. NornNorn พิสูจน์ว่าโมเดลเช่า-รีไซเคิลช่วย
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ≥31%
- ลด PM 2.5 กว่า 20%
- ลดสารก่อมะเร็งที่ไม่ใช่มนุษย์กว่า 20%
“นี่คือหลักฐานชัดว่าเรากำลังสร้างผลลัพธ์จริง ไม่ใช่แค่ Greenwashing” แนปย้ำ
อินโดนีเซีย – สนามทดสอบต่างแดน
NornNorn เปิดตัวพร้อมกันในไทยและอินโดนีเซีย โดยที่อินโดนีเซีย คืออพาร์ทเนอร์ธุรกิจรายใหญ่ที่ทำธุรกิจที่นอน ชื่อ Spring Air ส่วนในไทยทำภายใต้แบรนด์ของตัวเอง คือ Springmate แนปแจกแจงรายละเอียด
ไทย: จะเน้นตลาด B2B กับโรงแรมที่ต้องการยกระดับความยั่งยืน
อินโดนีเซีย: เป็นตลาดใหญ่ อุตสาหกรรมโรงแรมกำลังโต นั่นคือโอกาสที่ดีทางธุรกิจ
วิสัยทัศน์ 10 ปี พร้อมปรับตัวตลอดเวลา
“โลกวันนี้ผันผวนเกินคาด เราวางแผนทีละ 10 ปี ปรับตามสถานการณ์ แต่เป้าหมายไม่เปลี่ยน – Carbon Neutral และ Circular Economy ที่ใช้งานได้จริง”
แนป เล่าอีกว่า เขามีแผนที่จะเริ่มทดสอบตลาดจริงจังในไตรมาส 4 ปี 2025 พร้อมกันทั้งตลาดในไทยและอินโดนีเซีย และต่อจากนั้น ยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่นอนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งวิธีการเก็บที่นอน เพื่อนำมาแยกส่วนแล้วนำไปรีไซเคิล หรือทำลายทิ้งโดยไม่สร้างมลพิษควบคู่ไปด้วย
การเปลี่ยนจากการเป็นเพียงผู้บริโภคทรัพยากรธรรมชาติไปเป็นการ “ตอบแทนกลับสู่ธรรมชาติและสังคม” แนป ย้ำว่า เป้าหมายการทำธุรกิจ “คาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutral)” และ “สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นได้จริง หรือการทำธุรกิจที่ยั่งยืนนั้น “ไม่ใช่ง่าย” มันมีหลายกระบวนการที่ต้องพัฒนาและเผชิญอุปสรรค”
ส่วนการพัฒนาสินค้าในอนาคต จะต้องตอบโจทย์ยุคสมัย:
* ต้องเป็นสินค้าที่ “รีไซเคิลได้ง่าย และมีความเป็น Carbon Neutral สูง”.
* ต้องตอบโจทย์ “สังคมผู้สูงอายุ” โดย “ออกแบบที่นอนให้เบาขึ้น หรืออาจจะไม่ต้องเปลี่ยนที่นอนเลย”
ขยายการลงทุน “Recycling Tech R&D”
แนป กำลังลงทุนในส่วนของ “Recycling Tech R&D” โดยเริ่มต้นที่ “ฟองน้ำที่อยู่ในที่นอน” เพื่อ “ย่อยสลายฟองน้ำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” งาน R&D นี้ทำร่วมกับ “AIT และมหาวิทยาลัย Cambridge ที่อังกฤษ” โดยได้รับการสนับสนุนจาก “สวช. และรัฐบาลอังกฤษ”
ต้องยอมรับว่า การรีไซเคิลมี “ค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ออกมา” และคาดว่าจะทำได้แค่ “Break Even” จึงต้องมีการวางแผนเพื่อ “Optimize Process และเพิ่มมูลค่าของชิ้นส่วน” เพื่อให้มีกำไรเล็กน้อย เพราะ “เรื่องเงินก็มาก่อน” แม้จะต้องการช่วยโลกก็ตาม
เป้าหมายของ แนป คือ การทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้จริง และไม่ปล่อยให้หลุดออกไปจากวงจร เขาต้องการให้วัสดุอยู่ในรูปแบบที่สามารถติดตามได้และนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้อย่างมีที่ไปที่ดี
ขณะนี้ แนปและทีม กำลังดำเนินการ ศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) เกี่ยวกับกระบวนการรีไซเคิลที่นอนเมื่อหมดอายุการใช้งาน ตั้งแต่การรับคืน การแยกชิ้นส่วน และการหาพันธมิตรในการรีไซเคิลส่วนประกอบ
- การศึกษานี้คาดว่าจะแล้วเสร็จ กลางปีหน้า
- ศูนย์รีไซเคิลหลักในประเทศไทยมีแผนจะอยู่ที่ ขอนแก่น โดยใช้โรงงานผลิตที่นอนเก่าของพวกเขา ซึ่งอาจพัฒนาเป็นอีกธุรกิจหนึ่งได้
- การแยกส่วนประกอบที่นอนส่วนใหญ่ใช้คนเป็นหลัก ต้นทุนที่สูงที่สุดคือการไปรับคืน
การเชื่อมโยงระหว่าง “BCG, Sustainability Financing และ Tokenization” เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทำ กลไก Tokenization คือการใช้ “Blockchain เพื่อให้มี Traceability” ของเส้นทางการเงิน นักลงทุนจะเห็นว่าเงินที่สนับสนุนนั้น “มีส่วนร่วมในการช่วยสิ่งแวดล้อมมากขนาดไหน” และผลลัพธ์คือ “Carbon Credit และ Plastic Credit”.

ความท้าทายและการปรับตัว:
แนป เล่าถึงความท้าทายในการทำธุรกิจนี้ว่า ในระยะแรก ลูกค้าในประเทศไทยมักเข้าใจผิดว่าคำว่า “เช่า” หมายถึงจะได้ที่นอนเก่า เพราะภาษาไทยไม่มีคำว่า “subscribe” โดยตรง ซึ่งคำว่า “subscribe” สื่อถึงที่นอนใหม่ แต่ตอนนี้ ตลาดได้รับการให้ความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับโมเดล subscription (เช่น Netflix) ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น และเป็น “Good timing”
การทำธุรกิจสิ่งแวดล้อมเป็นการลงทุนที่ “Long Term Process” ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีหรือเป็นสิบปี ทำให้บางนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะสั้นอาจไม่สนใจ
ข้อคิดถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่
แนป แนะนำเลยว่า สำหรับคนที่ต้องการเริ่มธุรกิจใหม่ๆ ต้อง ลองทำถ้าคุณเชื่อว่าไอเดียมีคุณค่า อย่ากลัวล้มเหลว เพราะสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือสิ่งที่ไม่ได้ทำ
การเป็นผู้ประกอบการเหมือนวิ่งมาราธอน ต้องอึด อดทน และแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ
NornNorn ไม่ได้แค่ขายที่นอน แต่ขายแนวคิดใหม่ให้โลก – ที่นอนที่คุณใช้แล้วจะไม่กลายเป็นขยะ และถ้าโมเดลนี้สำเร็จในไทยและอินโดนีเซีย มันอาจกลายเป็น มาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมที่นอนโลก ในอนาคต

