
คนไทยสร้างขยะอาหารกว่า 9.7 ล้านตันต่อปี หรือเฉลี่ย 146 กิโลกรัมต่อคนต่อปี! ตัวเลขนี้สะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่าที่คิด เพราะไม่เพียงสิ้นเปลืองทรัพยากร แต่ยังก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในระยะยาว
ปัญหาขยะอาหาร…มากกว่าของเหลือคือภัยเงียบ
จากการสำรวจของกรุงเทพมหานคร (กทม.) พบว่า ขยะอาหารคิดเป็น 46% ของขยะมูลฝอยทั้งหมด และส่วนใหญ่ยังจัดการไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ สิ่งที่ตามมาคือปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นรบกวน และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค เสี่ยงโรคทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และโรคผิวหนังโดยตรง
แหล่งขยะอาหารหลักๆ มาจากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ อาคารสำนักงานที่มีศูนย์อาหาร ทั้งหมดนี้ คือ จุดที่อาหารส่วนเกินและของเหลือถูกทิ้งเป็นจำนวนมาก หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ปัญหาจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมต้องแก้ปัญหานี้เดี๋ยวนี้?
องค์การสหประชาชาติ (UN) ตั้งเป้า ลดการสูญเสียอาหารครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ตาม SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน หากประเทศไทยยังปล่อยให้มีขยะอาหารมหาศาลแบบนี้ จะไม่เพียงพลาดเป้าหมาย แต่ยังสร้างก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวการเร่งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
จัดการที่ต้นทาง เปลี่ยนขยะเป็นทรัพยากร
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. จับมือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ผลักดันโครงการ “Stop Food Waste Start the Future” โดยเริ่มจากจุดที่ขยะอาหารเยอะที่สุด—ศูนย์อาหาร โครงการนำร่อง 15 ศูนย์อาหารใช้โมเดล “ลด-แยก-ใช้ประโยชน์ต่อ” ทำให้:
- ลดขยะอาหารได้ 20%
- นำของเหลือไปใช้ต่อได้ 100% เช่น ทำปุ๋ยชีวภาพ ผลิตพลังงาน
- ลดก๊าซเรือนกระจกกว่า 125 tCO2e

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า นอกจากผลเชิงตัวเลขแล้ว โครงการยังช่วยให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ปรับพฤติกรรม ตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น เห็นได้ชัดว่า ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือ ขยะอาหารไม่จำเป็นต้องจบที่หลุมฝังกลบอีกต่อไป
การที่จะช่วยลดขยะอาหารง่ายๆ ด้วยตัวเรา สามารถทำได้โดย ซื้ออาหารเท่าที่กินหมด แยกเศษอาหารออกจากขยะอื่น และสนับสนุนร้านและศูนย์อาหารที่เข้าร่วมโครงการลดขยะ
