ในยุคที่ AI (ปัญญาประดิษฐ์) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของโลก ตั้งแต่ ChatGPT ที่ตอบคำถามได้เหมือนมนุษย์ ไปจนถึง AI ที่ช่วยแต่งภาพ วิดีโอ หรือแม้แต่ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรค — เบื้องหลัง “ความอัจฉริยะ” เหล่านี้กลับแฝงไว้ด้วย “ต้นทุนพลังงาน” ที่สูงเกินคาด
จากรายงานของ Knowledge at Wharton พบว่า การฝึกสอนโมเดลขนาดใหญ่ เช่น GPT-3 ใช้พลังงานถึง 1,287 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 502 ตัน เทียบเท่ากับการปล่อยมลพิษของรถยนต์เบนซินกว่า 112 คันตลอดหนึ่งปี!
และนั่นเป็นเพียงขั้นตอน “การฝึกสอน” เท่านั้น เพราะการใช้งานจริงในแต่ละวันยังต้องใช้พลังงานเพิ่มอีกมหาศาล
OPEN-TEC ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี ภายใต้การดูแลของ TCC TECHNOLOGY GROUP เผยถึงแนวคิด Green AI — เทคโนโลยีที่ฉลาด “ทั้งต่อมนุษย์และต่อโลก”
จุดเริ่มต้นของ Green AI: ฉลาดขึ้น แต่ใช้พลังงานน้อยลง
ท่ามกลางความกังวลเรื่องการใช้พลังงานของ AI แนวคิด Green AI ได้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน แนวคิดนี้มองว่า “ความก้าวหน้าของ AI” ไม่ควรวัดจากเพียงความแม่นยำหรือความสามารถในการคิดวิเคราะห์เท่านั้น แต่ต้องรวมถึง “ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” ด้วย
เป้าหมายของ Green AI คือ การสร้าง AI ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำที่สุด
หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการพัฒนา Small Language Models (SLMs) หรือ โมเดลภาษาขนาดเล็ก ที่ออกแบบให้กินพลังงานน้อยลง ใช้หน่วยความจำน้อยกว่าโมเดลใหญ่ แต่ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะกับอุปกรณ์ที่มีทรัพยากรจำกัด เช่น สมาร์ทโฟน, Edge Devices หรือแม้แต่ระบบที่ทำงานแบบออฟไลน์
นอกจากนี้ยังมีเทคนิค Model Compression ที่ช่วยลดขนาดและความซับซ้อนของโมเดล โดยไม่ลดทอนความสามารถ — เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักพัฒนาในการสร้าง AI เพื่อสิ่งแวดล้อม อย่างแท้จริง
Big Tech กับการขับเคลื่อน Green AI
ไม่ใช่แค่วงการวิจัยเท่านั้นที่สนใจ Green AI — บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Google และ Microsoft ก็เดินหน้าพัฒนาโมเดล AI ที่ใช้พลังงานน้อยลงเช่นกัน
Microsoft เปิดตัวโมเดล Phi ที่ออกแบบมาให้ประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังประมวลผลต่ำ ช่วยลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้าน Google พัฒนาโมเดล Gemma ซึ่งเป็น SLMs ที่สามารถประมวลผลข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอได้โดยตรงบนอุปกรณ์ปลายทาง ช่วยลดการส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์ และกระจายภาระพลังงานออกจากศูนย์ข้อมูลหลัก
ทั้งสองกรณีสะท้อนให้เห็นว่า Green AI ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่คือการลงมือทำจริงของบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการสร้าง “AI ที่ไม่ทำร้ายโลก”
AI ในชีวิตประจำวัน กับพลังงานที่เรามองไม่เห็น
แม้คำว่า “Green AI” จะฟังดูไกลตัว แต่ในความจริงแล้ว AI อยู่รอบตัวเราทุกวัน
ตั้งแต่สมาร์ทโฟนที่ใช้ AI ช่วยค้นหาข้อมูล รถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ไปจนถึงอุปกรณ์ในบ้านที่ฟังเสียงเราแล้วตอบกลับอย่างชาญฉลาด — ทุกคำสั่ง ทุกการประมวลผล ล้วนใช้พลังงานที่ “ซ่อนอยู่” อยู่เบื้องหลัง
เมื่อเราใช้งานมากขึ้น พลังงานที่ถูกใช้โดยรวมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน หากขาดการจัดการอย่างยั่งยืน สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต
Green AI ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็น
AI ที่ฉลาดขึ้นคือสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่หากความก้าวหน้านี้แลกมาด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อม มันก็ไม่อาจเรียกว่า “ยั่งยืน” ได้
แนวคิด Green AI จึงเป็นคำตอบของอนาคตที่ต้องการความสมดุล —
- ระหว่าง “นวัตกรรม” กับ “ธรรมชาติ”
- ระหว่าง “สมองกล” กับ “โลกใบนี้”
ถึงเวลาที่เราทุกคนต้องร่วมผลักดันให้ AI ฉลาดขึ้น ไม่ใช่แค่คิดได้ แต่ต้อง “คิดอย่างรักษ์โลก” ไปพร้อมกัน

