“ถ้าอยากเห็นความยั่งยืน ต้องเริ่มจากความจริงก่อน” – นั่นคือประโยคเด็ดเปิดเวที ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กับภารกิจ ESG เครือสหพัฒน์: ความยั่งยืนที่ต้องเริ่มจากการยอมรับความจริง
ในเวที ESGNIVERSE 2025: Real – World of Sustainability ที่จัดโดย Brand Buffet และ SD Thailand ภายใต้ธีม From Reports to Real Impact ซึ่งมุ่งทำให้ ESG ไม่ใช่เพียงรายงาน แต่เป็น กลยุทธ์ที่เกิดผลจริง — หนึ่งในเสียงสำคัญบนเวทีคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC และประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาลและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนขององค์กร
จาก “ความหวัง” สู่ “ความจริง”
ผู้ฟังจำนวนมากคาดหวังให้คุณอภิสิทธิ์พูดถึง “ความหวังด้านความยั่งยืน” แต่เขากลับเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามกลับว่า

“เราพร้อมแล้วหรือยัง ที่จะยอมรับความจริง?”
20 ปีหลังจาก An Inconvenient Truth (2006) ของ อัล กอร์ จุดประกายความตื่นตัวเรื่องโลกร้อน และ 10 ปีหลัง ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่โลกตกลงร่วมกันจะจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 °C — วันนี้ เรากลับพบว่า…
- โลกยังคง ปล่อยคาร์บอน 40,000–50,000 ล้านตัน/ปี
- งบคาร์บอนที่เหลือ ใช้ได้อีกแค่ 6 ปี
- ประเทศส่วนใหญ่ยัง ไม่ทำได้จริงตามเป้า
- ไทย กำลังมุ่งหน้าไปสู่ภาวะโลกร้อนเฉลี่ย 3 °C สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
ตรวจการบ้าน ESG ไทย: ยัง “หลุดกรอบ”
ในอีก 5 ปีจะถึงปี 2030 ซึ่งเป็นเส้นตายของ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) แต่หากลอง “ตรวจการบ้าน” ทั้ง 42 ข้อของ SDGs แล้ว พบว่า:
- ทำได้ตามเป้าเพียง 1 ข้อ: ยานยนต์ไฟฟ้า
- ที่เหลือยังไม่ทัน: เช่น การใช้พลังงานสะอาด เพิ่มขึ้นเพียง 14% จากที่ควรเป็น 24%
- ยากมากที่จะทำได้: เช่น เกษตรคาร์บอนต่ำ ต้องเพิ่มประสิทธิภาพอีก 10 เท่า
- ผิดทางชัดเจน: การอุดหนุนพลังงานฟอสซิลยังสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา

ในแง่ ธรรมาภิบาล (G) และ หลักนิติธรรม (Rule of Law) ก็ยังท้าทาย:
ดัชนี Rule of Law ไทยอยู่อันดับ 78 ของโลก ในขณที่ดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (CPI) อยู่อันดับ 108 SDG ด้าน “ความยุติธรรม” และ “สิ่งแวดล้อม” ยังติด “สีแดง”
“Get Real” ไม่ใช่แค่บนกระดาษ แต่ต้องลงมือจริง
คุณอภิสิทธิ์ย้ำว่า โลกวันนี้มี ESG 2 แบบ:
แบบที่ทำจริง และแบบที่ทำไว้บนกระดาษ
“หลายองค์กรประกาศเป้าหมาย Net Zero ทั้งที่ยังไม่รู้จักคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตัวเองด้วยซ้ำ”
“การทำ ESG ที่ดีต้องตรวจสอบได้ ไม่ใช่เชื่อแค่คำบอกเล่าขององค์กร”
เครือสหพัฒน์ จึงเริ่มจาก “ความจริง” ด้วยการวัด Carbon Footprint ทั้ง Scopes 1–2 และเดินหน้าหลายโครงการอย่างต่อเนื่อง:

พลังงานสะอาด
- โซลาร์ลอยน้ำ
- Cogeneration
- โรงไฟฟ้าชีวมวล
ผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม
- ลดการใช้สารเคมี
- ใช้วัตถุดิบรับรองมาตรฐาน
- บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล

สังคมและเยาวชน
- “สหพัฒน์เพื่อน้อง” สร้างค่านิยมซื่อสัตย์
- โครงการ “Admission ติวฟรี” ต่อเนื่อง 27 ปี
เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
- แคมเปญ “Care the Whale”
- โครงการชุมชนยั่งยืน เช่น สุเหร่าบ้านดอน
ESG แบบ “นายห้างเทียม” – ค่านิยมดั้งเดิมที่ยังทันสมัย
หนึ่งในแรงบันดาลใจของคุณอภิสิทธิ์ในการเข้ามาทำงานด้าน ESG คือ “นายห้างเทียม โชควัฒนา” ผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒน์ ซึ่งมีค่านิยมว่า
“สร้างคนดี สินค้าดี สังคมดี” และ “ทำธุรกิจต้องไม่เอารัดเอาเปรียบกันในห่วงโซ่”
แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นแกนกลางของ ESG ในแบบสหพัฒน์ ที่เริ่มจาก “ธรรมาภิบาล” ซึ่งองค์กรทำได้ดีที่สุด และค่อยต่อยอดไปยังด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

ทางรอด: หลักคุณธรรม + เศรษฐกิจพอเพียง
คุณอภิสิทธิ์สรุปว่า การจะทำให้ ESG เกิด “ผลกระทบจริง (Real Impact)” ต้องเริ่มจาก
- กล้ายอมรับความจริง (Get Real)
- คิดระยะยาว ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด
- ยึดหลักคุณธรรม และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
“ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับความจริง ลงมือเปลี่ยนแปลง และยืนอยู่บนคุณธรรม”
สารที่ฝากถึงภาคธุรกิจ:
- อย่าทำ ESG แค่เพื่อรายงาน แต่ต้องทำให้เกิด “ผลจริง”
- ทุกองค์กรมีส่วนในการเร่งหรือชะลอภาวะโลกร้อน

ความยั่งยืนต้องมาจาก ค่านิยมภายใน ไม่ใช่แค่แรงกดดันจากภายนอก
ทั้งหมดนั่นคือบทสรุป ที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พูดในฐานะผู้บริหารด้านความยั่งยืนขององค์กรขนาดใหญ่อย่างเครือสหพัฒน์ ซึ่งถือเป็นการพูดบนเวทีครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องความยั่งยืน ที่แสดงให้เห็นถึงความจริง และมุมมองที่แตกต่างของผู้บริหารที่เคยนั่งทำหน้าที่บริหารประเทศไทยมาแล้ว

