
อุตสาหกรรมแฟชั่นถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของเศรษฐกิจโลก มูลค่าสูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแรงงานกว่า 300 ล้านคน อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Ellen MacArthur Foundation) แต่เบื้องหลังความเติบโตนี้กลับมีต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่หนักหน่วง
ข้อมูลจาก Textile Exchange ระบุว่า การผลิตเส้นใยสิ่งทอทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวใน 20 ปีที่ผ่านมา จาก 58 ล้านตันในปี 2000 เป็น 116 ล้านตันในปี 2022 และคาดว่าจะทะลุ 147 ล้านตันในปี 2030 หากทุกอย่างยังดำเนินไปเช่นเดิม ในขณะที่ผู้บริโภคซื้อเสื้อผ้ามากขึ้นถึง 60% แต่กลับใช้เสื้อผ้าเพียงครึ่งหนึ่งของระยะเวลาเดิม (McKinsey & Company, 2016)
หากวิเคราะห์เจาะลึกลงไป จะพบว่า ต้นทุนสิ่งแวดล้อมของวงการแฟชั่นมีมากมายเหลือเกิน โดยดูได้จาก แฟชั่นกับ Footprint สิ่งแวดล้อม
- ใช้น้ำมากเป็นอันดับสองของโลก และปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2–8% ของทั้งหมด
- 85% ของสิ่งทอทั่วโลกถูกทิ้งเป็นขยะทุกปี (UNECE, 2018)
- การซักเสื้อผ้าบางประเภทปล่อย ไมโครพลาสติกสู่ทะเลกว่า 500,000 ตันต่อปี เทียบเท่าขวดพลาสติก 50,000 ล้านขวด (Ellen MacArthur Foundation, 2017)
- ทุกๆ 1 วินาที มีเสื้อผ้า 1 รถบรรทุกถูกเผาหรือฝังกลบ
- วงการแฟชั่นใช้น้ำกว่า 215 ล้านล้านลิตรต่อปี หรือเทียบเท่าสระว่ายน้ำโอลิมปิก 86 ล้านสระ (Quantis, 2018)
- ราว 20% ของมลพิษน้ำเสียอุตสาหกรรมทั่วโลก มาจากการผลิตแฟชั่น (World Bank, 2020)
- น้อยกว่า 1% ของวัสดุที่ใช้ผลิตเสื้อผ้าถูกนำกลับมารีไซเคิล ทำให้สูญเสียมูลค่าวัสดุเกิน 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ต้นทุนมนุษย์ของ Fast Fashion
Fast Fashion ไม่ได้สร้างผลกระทบเพียงสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงสังคมและสิทธิมนุษยชน แรงงานสิ่งทอส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนา ต้องทำงานหนักในสภาพที่เลวร้าย ได้ค่าแรงต่ำ และบางครั้งถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน (Human Rights Watch)
นอกจากนี้ การใช้สารเคมีในการผลิตยังส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งคนงานและผู้บริโภค ขณะที่มลพิษจากน้ำเสียและไมโครพลาสติกก็กลับมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในสังคมโดยตรง
ความร่วมมือระหว่างประเทศเชื่อมโยงสู่เป้าหมาย SDGs
อุตสาหกรรมแฟชั่นถือเป็นห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก (Global Value Chain) ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการบรรลุ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ ความร่วมมือระหว่างประเทศจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน Sustainable Fashion
ในการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 4 (UNEA-4) ได้มีการเปิดตัว UN Alliance for Sustainable Fashion เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสังคมในอุตสาหกรรมแฟชั่น

เครือข่ายดังกล่าวทำหน้าที่เชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงาน UN วิเคราะห์ความพยายามด้านแฟชั่นยั่งยืน ระบุช่องว่างในการดำเนินงาน และนำเสนอข้อค้นพบต่อรัฐบาลเพื่อผลักดันเชิงนโยบาย
อีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญคือโครงการ Forests for Fashion Initiative ภายใต้การนำของ UNECE, FAO และพันธมิตร ที่สนับสนุนการใช้วัสดุจากป่าไม้ที่ยั่งยืนมาเป็นนวัตกรรมในวงการแฟชั่น
นอกจากนี้ ยังมีหลายองค์กรระหว่างประเทศที่กำลังเดินหน้าขับเคลื่อนแนวทางแฟชั่นยั่งยืนในระดับโลก
ทำไม “แฟชั่นยั่งยืน” จึงเป็นวาระร่วมของโลก
อุตสาหกรรมแฟชั่นเกี่ยวข้องกับทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน และการบริโภค ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเป้าหมาย SDGs ความร่วมมือระหว่างประเทศจึงไม่เพียงช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้าง ความเท่าเทียมทางสังคม การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อโลก
การขับเคลื่อนแฟชั่นยั่งยืนจึงไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นความท้าทายร่วมกันที่ต้องอาศัย นโยบายสากล นวัตกรรม และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
แฟชั่นและสิ่งทอสู่แนวทาง “Zero Waste”
30 มีนาคม 2025 คือ วันลดขยะสากล (International Day of Zero Waste) ที่จัดขึ้นร่วมกันโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-Habitat) ชี้ให้เห็นความสำคัญของการดำเนินการในอุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ เพื่อลดขยะและขับเคลื่อน Circular Solutions สู่แนวทางแฟชั่นยั่งยืน
โมเดลธุรกิจแบบเส้นตรง (Linear Model) ในอุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ ก่อให้เกิดการผลิตและบริโภคเกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดวิกฤตขยะระดับโลก ปริมาณการผลิตและการบริโภคสิ่งทอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่าความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์
ผู้บริโภคทั่วโลกสูญเสียมูลค่า ประมาณ 460 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากการทิ้งเสื้อผ้าที่ยังใช้งานได้
- เสื้อผ้าบางชิ้นถูกทิ้งเพียง 7–10 ครั้งหลังการใช้งาน
- 11% ของขยะพลาสติกมาจากเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นอันดับ 3 รองจากบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภค
- ในปี 2023 มีเพียง 8% ของเส้นใยสิ่งทอทำจากวัสดุรีไซเคิล และการรีไซเคิลแบบผ้าเป็นผ้ามีสัดส่วนน้อยกว่า 1%
- การไม่รีไซเคิลเส้นใยสิ่งทอส่งผลให้สูญเสียมูลค่าวัสดุมากกว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
- การพึ่งพาเส้นใยสังเคราะห์จากฟอสซิลยังปล่อย ไมโครพลาสติก สู่สิ่งแวดล้อม
เสื้อผ้าที่ถูกทิ้งมักลงเอยใน ประเทศ Global South (หรือ กลุ่มประเทศโลกใต้ คือกลุ่มประเทศที่กำลพัฒนาหรือด้อยพัฒนากว่าในเอเชีย แอฟริกา ละตินอเมริกา และโอเชียเนีย) ที่การจัดการขยะไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการทิ้งและเผาขยะ ส่งผลกระทบรุนแรงทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยชุมชนที่มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระมลพิษและคุณภาพชีวิตที่ลดลง
การเคลื่อนไหวเพื่อแฟชั่น Zero Waste
งาน International Day of Zero Waste 2025 ที่เจนีวา มีการนำเสนอ แนวทางและโครงการสำคัญ ในการลดผลกระทบขยะจากอุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ ขับเคลื่อน ความยั่งยืนและ Circular Fashion เจนีวาเป็นศูนย์กลางระดับโลกด้านการกำกับดูแลสารอันตราย และเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างรัฐบาล องค์กรไม่แสวงหากำไร และภาคธุรกิจที่มุ่งสู่เป้าหมาย Zero Waste
และในวันฝ้ายโลก (World Cotton Day) 7 ตุลาคม ที่กำลังจะมาถึง การผลิตฝ้ายแบบดั้งเดิม อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้สารเคมี การใช้น้ำสูง และการเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เกษตร ส่งผลให้เกิด การชะล้างดิน มลพิษน้ำ และปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ดังนั้น การสนับสนุน โมเดลการผลิตฝ้ายยั่งยืน จึงเป็นสิ่งจำเป็น หากเราต้องการบรรลุเป้าหมาย SDGs และสร้างอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ยั่งยืน
ฝ้าย เป็นหนึ่งในผ้าทอที่ใช้มากที่สุดในอุตสาหกรรมแฟชั่น การผลิตฝ้ายรองรับ การดำรงชีวิตของคนกว่า 28.67 ล้านคน และมีประโยชน์ต่อ ครอบครัวกว่า 100 ล้านครอบครัวทั่วโลก (WTO, 2020)
ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงสู่วงการแฟชั่นยั่งยืน
ต้นทุนสิ่งแวดล้อมและสังคมของอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้อง ทบทวนโมเดล Fast Fashion และมุ่งสู่แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านพลังงาน น้ำ และการจัดการของเสีย รวมถึงการส่งเสริมการรีไซเคิลและการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน
เพราะอนาคตของแฟชั่นไม่ควรเป็นเพียงเรื่องของ “ความสวยงาม” แต่ต้องควบคู่ไปกับ ความรับผิดชอบต่อโลกและผู้คน
แหล่งที่มา : https://www.genevaenvironmentnetwork.org/resources/updates/sustainable-fashion/
