
โคคา-โคล่า ประเทศไทย สานต่อความสำเร็จแคมเปญระดับโลก “COKE Foodmarks” ปักหมุดร้านอาหารอร่อยซ่าคู่ “โค้ก” ทั่วไทย พร้อมประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ กรุงเทพมหานคร และ สำนักงานเขตธนบุรี ปรับโฉมย่านตลาดพลูให้กลายเป็น แลนด์มาร์กสตรีทฟู้ดแห่งใหม่ ที่ผสานวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และวิถีชุมชนได้อย่างลงตัว
ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทยและลาว กล่าวว่า เรื่องการทำย่านอาหารอร่อย โค้กมีเป้าหมายการคัดเลือกย่านที่อยากพัฒนาและร่วมงานด้วย คือ ย่านที่มีวัฒนธรรมสตรีทฟู้ดที่หลากหลาย มีเรื่องเล่า มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
โค้กมีเป้าหมายในการปรับปรุง และผลักดันย่านอร่อยทั่วประเทศ สำหรับดำเนินการย่านตลาดพลู เล็งเห็นถึงความมีอัตลักษณ์ มีประวัติศาสตร์ เลยปรับปรุงเพื่อดึงดูดนักชิม นักท่องเที่ยว

ในส่วนของย่านตลาดพลู ได้ปรึกษากับทางกรุงเทพมหานครว่าจะเข้าไปช่วยส่งเสริมด้านไหนได้บ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สามารถตอบโจทย์ร่วมกันในทุกภาคส่วน ทั้ง กทม. ชุมชนในย่านนั้นๆ และนักชิม นักท่องเที่ยว ซึ่งโค้กได้ดำเนินการผ่านแคมเปญ “COKE Foodmarks”
ปักหมุดแล้วกว่า 4,300 ร้าน ตั้งเป้าครอบคลุมสตรีทฟู้ดยอดฮิตทั่วไทย
แคมเปญ “COKE Foodmarks” ได้ปักหมุดร้านอร่อยไปแล้วกว่า 4,300 แห่งทั่วประเทศ พร้อมขยายต่อเนื่องไปยังเมืองสำคัญและแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ขอนแก่น, ภูเก็ต, หัวหิน, หาดใหญ่ และ พัทยา เพื่อยกระดับประสบการณ์การกินสตรีทฟู้ดคู่กับ “โค้ก” ให้กับผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลและกิจกรรมสุดครีเอทีฟ
ตลาดพลู: หมุดหมายใหม่ของสตรีทฟู้ดไทย
ปีนี้ โคคา-โคล่าจับมือกับ กทม. พัฒนาพื้นที่ร้านค้า ใต้สะพานรัชดาภิเษก ฝั่งทางรถไฟตลาดพลู หนึ่งในย่านเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์เรื่องอาหาร สู่การเป็น “แลนด์มาร์กอาหารริมทาง” ที่สะอาด สวยงาม เป็นระเบียบ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น จุดล้างอุปกรณ์ ระบบจัดการขยะ และไฟส่องสว่างเพื่อความปลอดภัย ดูเรื่องสุขอนามัย และแพ็คเกจจิ้ง
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ย่านตลาดพลูสะท้อนวัฒนธรรมการกินริมทางของฝั่งธนฯ ได้อย่างแท้จริง ความร่วมมือครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเมืองที่คงอัตลักษณ์ และผลักดันเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

มันเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ในการเป็นสตรีทฟู้ดที่มีอาหารคุณภาพ ราคาไม่แพง กทม.จะกระตุ้นให้เกิดพื้นที่แบบนี้ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งหมด 50 ย่าน ซึ่งปีนี้จะทำให้แล้วเสร็จ 30 ย่าน อย่างย่านตลาดพลู มีอาหารที่เป็นเอกลักษณ์มากมาย
สตรีมฟู้ดคือคุณภาพอาหาร ราคาไม่แพง ทุกคนเข้าถึงได้ การปรับปรุงคือ การทำให้เข้าถึงมากขึ้น ง่ายขึ้น โดยคงร้านค้า และอัตลักษณ์เดิมไว้ พื้นที่เดิมจะรกรุงรัง การปรับปรุงคือทำให้สะอาด ดีข้น และเชื่อมโยงไปสู่ย่านและแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ย่านที่กทม.เข้าไปช่วยทำ คนในย่านนั้นต้องเข้มแข็งก็จะได้ไปก่อน เช่น โอ่งอ่างก็เป็รนงานอาร์ตเพราะเขาอยู่ใกล้โรงเรียนเพาะช่าง
ย่านที่ปรับแล้วไปไกล เช่น ย่านทรงวาด ที่ไปไกลระดับโลก การปรับปรุงย่านต่างๆ ในกรุงเทพฯ กทม. และเขตจะเข้าไปช่วยดูแล ไม่ใช่เอาอะไรเข้าไปใส่ เขาต้องปรับตัวพัฒนาตัวเองด้วย กทม.เข้าไปช่วยดูความสะอาด ทำให้เกิดการพัฒนาของเมือง ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเดินทาง เพื่อสร้างเศรษฐกิจในย่านเหล่านั้นให้ดีขึ้น

ส่วนย่านบรรทัดทอง ปัญหาคือค่าเช่าแพง ถ้าเกินความเป็นจริงก็ต้องปรับลง และร้านค้าในย่านต้องปรับตัวเอง พัฒนาตัวเอง หรือย่านมหาจักร ก็มีปัญหาเรื่องการขายของบนถนน เหล่านี้ต้องเข้าไปดูรายละเอียดอีกครั้ง
“COKE Foodmarks” – มากกว่าแคมเปญ แต่คือการสนับสนุนวัฒนธรรมอาหารไทย
แคมเปญนี้เปิดตัวในไทยเป็นประเทศแรกของภูมิภาคอาเซียน สะท้อนความผูกพันของ “โค้ก” กับวัฒนธรรมการกินของคนไทยมายาวนานกว่า 75 ปี โดยมีการปักหมุดย่านสตรีทฟู้ดชื่อดัง เช่น
- ถนนบรรทัดทอง กรุงเทพฯ
- ถนนนิมมานเหมินท์ เชียงใหม่
- ถนน 30 กันยา โคราช
- ถนนศาลเจ้า สุราษฎร์ธานี

ทุกจุดล้วนมีศักยภาพด้านอาหารและการท่องเที่ยว ซึ่งแคมเปญนี้ตั้งใจส่งเสริมให้ผู้บริโภคทั่วโลกรู้จักความพิเศษของอาหารไทยควบคู่กับรสชาติซ่าของ “โค้ก”
เสริมพลังดิจิทัล พร้อมจับมือเดลิเวอรีและอินฟลูเอนเซอร์
โคคา-โคล่า ยังผลักดันผู้ค้าท้องถิ่นสู่โลกออนไลน์ ด้วยการสนับสนุนด้านเดลิเวอรี ร่วมมือกับแอปพลิเคชัน Grab ขยายช่องทางรายได้ พร้อมจัดเวิร์กช็อปให้ความรู้ และใช้พลังของอินฟลูเอนเซอร์สายกิน สร้างคอนเทนต์รีวิวร้านเด็ดในแคมเปญ “COKE Foodmarks” เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

โค้ก: พันธมิตรของมื้อพิเศษ และชุมชนที่ยั่งยืน
ฮาน ทเว เพียว ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคล่า ประเทศไทยและลาว กล่าวว่า…
“เราต้องการให้ ‘โค้ก’ เป็นส่วนหนึ่งของทุกมื้อพิเศษในชีวิตผู้บริโภค และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่มีคุณค่า”
