โครงการ “มิตรให้โลหิต ต่อชีวิตให้กัน” ของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ขึ้นแท่นต้นแบบจุดรับบริจาคโลหิตในพื้นที่มิกซ์ยูส ดึงผู้บริจาคกว่า 1,300 คนต่อรอบ
โครงการ “มิตรให้โลหิต ต่อชีวิตให้กัน” โดย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย กลายเป็นหนึ่งในต้นแบบการจัดจุดรับบริจาคโลหิตในอาคารมิกซ์ยูสและสำนักงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยสามารถระดมผู้บริจาคได้มากกว่า 1,300 คนต่อครั้ง ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ดำเนินการร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สร้างคุณค่าทางสังคมในระยะยาวของบริษัท โดยมีเป้าหมายสนับสนุนสุขภาวะของประชาชนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs เป้าหมายที่ 3 – สุขภาวะที่ดี) ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ M.I.T.R. เบื้องหลังความสำเร็จ
เฟรเซอร์สฯ ใช้กลยุทธ์ “M.I.T.R.” ในการขับเคลื่อนโครงการ ประกอบด้วย
• M: Multi-stakeholders Partnership
ความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกับศูนย์บริการโลหิตฯ รวมถึงการออกแบบของที่ระลึกโดยศิลปินชื่อดัง เพื่อสร้างแรงจูงใจในการบริจาค
• I: Insight Driven
วิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมเพื่อพัฒนาแนวทางดำเนินงาน เช่น การจัดตั้งกลุ่ม “New Blood” สำหรับพนักงานที่ยังไม่สามารถบริจาคได้ พร้อมโปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพให้พร้อมสำหรับรอบถัดไป
• T: Teamwork
พนักงานและอาสาสมัครของบริษัทมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการจุดบริจาค พร้อมอำนวยความสะดวกอย่างครบวงจร เช่น จุดพักคอย จุดให้คำแนะนำ และจุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น
• R: Retention
การบริจาคซ้ำถือเป็นเป้าหมายหลัก โดยมีผู้กลับมาบริจาคซ้ำมากถึง 60% สะท้อนถึงความผูกพันระหว่างผู้บริจาคและโครงการ

ระดมโลหิตสะสมกว่า 10 ล้านซีซี พร้อมขยายเป้าหมายต่อเนื่อง
ตั้งแต่เริ่มโครงการในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 โครงการได้ขยายจาก สามย่านมิตรทาวน์ ไปยังอาคารในเครือ เช่น สาทรสแควร์, ปาร์คเวนเชอร์ และ FYI เซ็นเตอร์ ปัจจุบันสามารถสะสมโลหิตได้กว่า 10.1 ล้านซีซี และตั้งเป้าทะลุ 12 ล้านซีซี ภายในสิ้นปี 2568

ธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ระบุว่า ความร่วมมือกับภาคีและการดำเนินการอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาขาดแคลนโลหิต พร้อมตั้งเป้าขยายรูปแบบไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั้งอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และพื้นที่สาธารณะ เพื่อสร้าง “สังคมแห่งการให้” อย่างยั่งยืน

