
ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เร่งเครื่องสู่เป้าหมาย Net Zero 2039 ดันเทคโนโลยีและ AI ปรับโฉมห่วงโซ่อุปทานสู่ความยั่งยืน เดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจก 100% ใน Scope 1-2 ภายในปี 2030 พร้อมตั้งเป้าลดพลาสติกใหม่ 40% และทำให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดรีไซเคิลได้ภายในปี 2035
ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กำลังพิสูจน์ว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่พันธกิจด้านสังคม แต่คือ “กลยุทธ์ธุรกิจ” ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว ภายใต้เป้าหมายใหญ่ Net Zero ภายในปี 2039 บริษัทนำเทคโนโลยี AI และดิจิทัล เข้ามาบูรณาการในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต จนถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้โลกและธุรกิจเติบโตไปด้วยกัน
Net Zero ถึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับ FMCG?
ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายสื่อสารองค์กร องค์กรสัมพันธ์ และความยั่งยืน กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่าในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ที่แข่งขันสูง ความยั่งยืนกำลังกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่ผู้บริโภคที่เรียกร้องสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่นักลงทุนก็ใช้เกณฑ์ ESG (Environment, Social, Governance) เป็นตัวตัดสินใจ ยูนิลีเวอร์จึงไม่รอช้า ตั้งเป้าลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 ให้ได้ 100% ภายในปี 2030 (ปัจจุบันทำได้แล้ว 72%) พร้อมลดการปล่อยใน Scope 3 ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานและการใช้ผลิตภัณฑ์

ประเด็นน่าสนใจ: Scope 3 เป็นโจทย์ยากที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับซัพพลายเออร์และผู้บริโภค ซึ่งอยู่นอกการควบคุมโดยตรง
AI และ Digital Twin เปลี่ยนสู่โรงงานสีเขียว
ที่โรงงานเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา ยูนิลีเวอร์ใช้ พลังงานหมุนเวียน 100% ผ่าน Biomass Boiler และ Solar Roof และนำ Digital Twin มาจำลองกระบวนการผลิตเพื่อลดการทดลองจริง ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ในหลายมิติ เช่น
- วิเคราะห์สูตรผลิตภัณฑ์เพื่อหาส่วนผสมที่ย่อยสลายได้
- ติดตามปริมาณการปล่อย CO2 และการใช้น้ำแบบเรียลไทม์
- คาดการณ์ความต้องการตลาด ลดการผลิตเกินและการขนส่งที่ไม่จำเป็น
ผลลัพธ์: AI ช่วยลดเวลาผลิต เพิ่มประสิทธิภาพถึง 40% และลดการปล่อยก๊าซในขั้นตอนการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ
พลาสติกและเศรษฐกิจหมุนเวียน: จากปัญหาสู่โอกาส
ยูนิลีเวอร์ตั้งเป้าลดการใช้ Virgin Plastic ลง 40% ภายในปี 2028 และเพิ่มการใช้ พลาสติกรีไซเคิล (PCR) 25% ภายในปี 2025 ที่น่าสนใจคือ ยูนิลีเวอร์ในไทยเก็บบรรจุภัณฑ์กลับได้ มากกว่าที่ขายออกไป (110%) ครอบคลุมแม้กระทั่งแบรนด์อื่น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเอง แต่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปสู่โมเดล Circular Economy
ความท้าทายที่ซ่อนอยู่: AI อาจไม่กรีนอย่างที่คิด
แม้ AI จะเป็นตัวช่วยหลัก แต่การประมวลผลของ AI ต้องใช้พลังงานมหาศาล หากไฟฟ้ายังมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ยังคงอยู่ นี่คือโจทย์ที่ยูนิลีเวอร์และอุตสาหกรรมต้องแก้ควบคู่กัน เช่น การลงทุนใน Green Energy PPA หรือการผลักดันนโยบายรัฐ
แม้ Affordability (ความสามารถในการจ่าย) ยังเป็นอันดับ 1 แต่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเพิ่มขึ้นจากอันดับ 50 ขึ้นมาเป็นอันดับ 20 ยอดขายของสินค้า Green Product เริ่มเติบโต และครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์ยูนิลีเวอร์ในไทยก็เข้าสู่กลุ่มนี้แล้ว

ความยั่งยืนคือการลงทุน ไม่ใช่ต้นทุน
ยูนิลีเวอร์ประกาศชัดว่าจะ ไม่ผลักภาระต้นทุนไปที่ผู้บริโภค เพราะมองว่าความยั่งยืนคือการลงทุนระยะยาวเพื่อความมั่นคงของธุรกิจ
ในวันที่ AI และเทคโนโลยีถูกยกเป็นพระเอกของความยั่งยืน ถ้าแหล่งพลังงานยังไม่เขียวจริง การเดินสู่ Net Zero จะเป็นจริงหรือแค่ภาพลวงตา?
