
ยามาฮ่า ขยายแผนสิ่งแวดล้อม 2050 ตั้งเป้า NET ZERO ทั้งห่วงโซ่คุณค่า เร่งคาร์บอนนิวทรัลที่โรงงานภายใน 2035 ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด นวัตกรรมวัสดุ และการจัดการ Scope 3 — วิเคราะห์แนวทางและความท้าทายต่อเป้าหมายปี 2050 ล่าสุด รับโล่เชิดชูเกียรติจากกรมป่าไม้ปีที่ 3 สะท้อนความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนและ SDG 15
ยามาฮ่ากำลังแปลงคำมั่นสู่การปฏิบัติ: ภายใต้ Yamaha Motor Group Environmental Plan 2050 บริษัทตั้งเป้าให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (net-zero) ตลอดห่วงโซ่คุณค่าในปี 2050 ขณะเดียวกันก็ขยับเป้าระยะกลางเพื่อให้โรงงานและกิจกรรมภายในบริษัทเป็น Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) ภายในปี 2030 โดยผสมผสานมาตรการลดการปล่อย กำจัดคาร์บอนจากพลังงานหมุนเวียน และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำเมื่อใช้งานจริง
พงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ยามาฮ่าตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยล่าสุดได้รับ โล่เชิดชูเกียรติ “ผู้ช่วยเหลือราชการกรมป่าไม้ สาขาฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้” ประจำปี 2568 ในวันสถาปนากรมป่าไม้ครบรอบ 129 ปี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของยามาฮ่าในการขับเคลื่อนกิจกรรมฟื้นฟูป่าไม้และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ยามาฮ่าให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนให้สำเร็จภายในปี พ.ศ.2593 (ค.ศ.2050) และไม่หยุดยั้งความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูผืนป่าอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 15 : Life on Land) ผ่านโครงการปลูกป่าเพื่อพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ร่วมกับกลุ่มบริษัท ยามาฮ่าประเทศไทย เพื่อประเมินคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ระกา ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเขียว ป่าเขาสว่าง และป่าคลองห้วยทราย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร เนื้อที่รวมกว่า 1,200 ไร่ ซึ่งดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566
เดินแผนความยั่งยืนต่อเนื่อง
ยามาฮ่า เดินหน้าโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นโครงการปลูกป่า “ยามาฮ่ามุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ที่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2566 ในจังหวัดกำแพงเพชร โครงการปลูกต้นไม้กว่า 160,000 ต้น ในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมกว่า 800 ไร่ การครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแม่ระกา, เขาเขียว, เขาสว่าง และคลองห้วยทราย ซึ่งโครงการได้รับการประเมิน คาร์บอนเครดิตตามมาตรฐาน T-VER และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ

นอกจากนี้ยามาฮ่ายังพัฒนานวัตกรรมพลังงานสะอาด ลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี พลังงานไฮโดรเจน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผลิต รถต้นแบบ ROV และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 100% จากไฮโดรเจน ซึ่งนวัตกรรมนี้ช่วยสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality ปี 2050 และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์
พร้อมกันนี้ ยังได้พัฒนาสิ่งแวดล้อมในโรงงานและพนักงาน ปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบระบายอากาศ และสร้างพื้นที่สีเขียวภายในโรงงาน และส่งเสริมความตระหนักด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เป้าหมายชัด – ลงมือทำจริง
ยามาฮ่ามีแผนระยะยาวที่ชัดเจน พร้อมเป้าหมายกลาง (2035) และเป้าหมายปลาย (2050) ขณะเดียวกัน ยังย่นระยะเวลาการลดที่ไซต์ผลิต (Scope 1 & 2) ยามาฮ่าได้เร่งแผนเพื่อให้โรงงานของกลุ่มบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนก่อนกำหนดเดิม โดยตั้งเป้าภายในปี 2035 รวมทั้งปรับไลน์ผลิต ใช้พลังงานหมุนเวียน และติดตั้งเทคโนโลยีลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต

การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดในระดับภูมิภาค โครงการติดตั้งแผงโซลาร์และระบบพลังงานทดแทนในโรงงานยุโรปและศูนย์ R&D เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงการนำเป้าหมายสู่การลงมือจริง เช่น การติดตั้งหลายพันแผงโซลาร์ที่โรงงานในยุโรป.
เดินหน้า Scope 3
ยามาฮ่าได้ตั้งเป้าลดการปล่อยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ (Use-phase, Scope 3) นอกเหนือจากการลดในโรงงาน ยามาฮ่ายังกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยจากการใช้งานผลิตภัณฑ์ของผู้ใช้ (เช่น ยานพาหนะ เครื่องยนต์ พาหนะทางน้ำ) ให้มากขึ้นผ่านการออกแบบที่มีประสิทธิภาพและการผลักดันพลังงานทางเลือกตลอดจนการประเมิน LCA (Life Cycle Assessment).

การรายงานและความโปร่งใส: ความพยายามด้านความโปร่งใสของยามาฮ่าได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภายนอก — บริษัทได้รับคะแนนจากการประเมินด้านสภาพภูมิอากาศ (CDP) ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นด้านการเปิดเผยข้อมูลและการจัดการความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้ ยามาฮ่ายังมีการลงทุนและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านความยั่งยืน ผ่านกองทุนลงทุนของกลุ่ม (Yamaha Motor Ventures) บริษัทยังให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพเทคโนโลยีสีเขียว และปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนในระยะยาว.
นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ยามาฮ่าออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ประหยัดพลังงานหรือรองรับพลังงานสะอาด (เช่น ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า หรือมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง) เป็นช่องทางสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าทางการตลาดควบคู่กับ ESG และในส่วนของห่วงโซ่อุปทานสีเขียว ยามาฮ่าขอให้ซัพพลายเออร์ลดคาร์บอนจะขยายผลสู่การลด Scope 3 ได้มากขึ้น และเป็นข้อได้เปรียบเมื่อกฎระเบียบสากลเข้มขึ้น
แน่นอนว่า การจัดการ Scope 3 หรือการลดการปล่อยจากการใช้สินค้าและซัพพลายเชนยังเป็นเรื่องยาก ต้องพึ่งพานวัตกรรมของผู้บริโภค นโยบายภายในประเทศ และความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ต้นทุนการลงทุนและการคืนทุน: การปรับเปลี่ยนโรงงานและติดตั้งพลังงานสะอาดต้องใช้เงินลงทุนสูง — การวางแผนทางการเงินและกรอบการประเมินผลตอบแทนระยะยาวจึงสำคัญ
ยามาฮ่ามีแผนที่จะบรรลุ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ซึ่งครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Scope 1, 2, และ 3) โดยมีแผนงานที่ชัดเจนและเป็นระบ เริ่มจาก การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ไซต์ผลิตภายในปี 2035 ยามาฮ่ามีเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนที่โรงงานผลิต (Scope 1 และ 2) ภายในปี 2035 โดยมีการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์และการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ใช้พลังงานสะอาด
ส่วนแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 ยามาฮ่า ตั้งเป้าหมายลดลง 27% ภายในปี 2035 และ 86% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับปี 2024
