
ESG กระแสโลก ที่ไทยยังขับเคลื่อนได้ไม่เต็มที่ ภาคธุรกิจขาดความเข้าใจ กฎหมายไม่เอื้อ แรงจูงใจเชิงนโยบายยังอ่อนแรง ผู้เชี่ยวชาญชี้ ต้องสร้างระบบนิเวศ ESG ที่ครบวงจรและยั่งยืน
จากวงเสวนา “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน ผ่านการจัดการความท้าทายด้าน ESG” ของบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาขน)ในงาน Delta ESG Forum2025 ภายใต้แนวคิด “ร่วมพลังทุกภาคส่วนเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน” โดยวิทยากร ประกอบด้วย ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พ.ท. ดร.ต้องการ แก้วเฉลิมทอง ประธานคณะทำงานด้าน Transportation and Logistics ของสหพันธ์วิศวกรรมสถานแห่งอาเซียน (AFEO) และอรทิพย์ อ้อทอง ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)
แม้แนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จะกลายเป็นกระแสหลักที่ภาคธุรกิจทั่วโลกยึดถือ แต่ในบริบทของประเทศไทย การขับเคลื่อน ESG ยังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน ทั้งในเชิงความเข้าใจ ระบบแรงจูงใจเชิงนโยบาย ไปจนถึงการขาดความชัดเจนของมาตรฐานและกฎหมายที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่าน
ดร.วิบูลย์ กล่าวว่า ภาคธุรกิจไทยจำนวนมากยังมีความเข้าใจใน ESG ที่ไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะการมอง ESG เพียงมิติด้านสิ่งแวดล้อม ขาดการเชื่อมโยงไปสู่เรื่องสังคมและธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ยังขาดศักยภาพและทรัพยากรในการวางกลยุทธ์ ESG อย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ กฎหมายและมาตรฐาน ESG ในไทยยังมีลักษณะ “สมัครใจ” มากกว่าจะเป็น “ข้อบังคับ” ทำให้ไม่มีแรงผลักดันที่ชัดเจนให้ธุรกิจเร่งปรับตัว ในขณะที่หลายประเทศเริ่มใช้เครื่องมือด้านภาษี สิทธิประโยชน์ หรือมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนองค์กรที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่ดี
“แรงจูงใจเป็นปัจจัยสำคัญมาก หากภาครัฐไม่มีระบบสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี การเข้าถึงแหล่งทุน หรือการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ให้แต้มต่อกับบริษัทที่มี ESG ดี ภาคธุรกิจก็จะไม่เห็นความจำเป็นในการเปลี่ยนผ่าน” พ.ท. ดร.ต้องการ กล่าว
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือความไม่สอดคล้องกันของข้อมูล ESG ในประเทศไทยที่ยังขาดศูนย์กลางข้อมูลกลางหรือระบบรายงานที่เป็นมาตรฐาน ทำให้นักลงทุนและผู้บริโภคไม่สามารถประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้อย่างโปร่งใส ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุน
ขณะที่ภาคเอกชนบางส่วนโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มมีความตื่นตัวและขับเคลื่อน ESG มากขึ้นตามแรงกดดันของนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจในระดับสากล แต่ความเคลื่อนไหวนี้ยังไม่กระจายตัวลงไปถึงธุรกิจรายย่อยหรือในระดับอุตสาหกรรมโดยรวม
พ.ท. ดร.ต้องการ เสนอว่า การผลักดัน ESG ในประเทศไทยควรมีการวางยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อสร้าง “ระบบนิเวศ ESG” หรือ ESG Nation ที่เข้มแข็งและครอบคลุม โดยต้องมีทั้งมาตรการสร้างความตระหนัก การพัฒนาศักยภาพ การกำหนดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ รวมถึงการออกแบบกฎหมายและระบบการรายงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับบริบทสากล
“ESG ไม่ใช่ภาระ แต่คือโอกาสในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของธุรกิจไทย หากเราสามารถสร้างระบบสนับสนุนที่เหมาะสมและปรับตัวได้ทันโลก”
“การผลักดันให้เกิด ESG คือการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน แต่ตอนนี้มันไปผิดทาง ทุกคนมานั่งทำแต่เรื่องสิ่งแวดล้อม คำว่ายั่งยืนมันหายไป มิติธุรกิจมันหายไป เราต้องจับคำว่าธุรกิจมาแต่งงานกับคำว่ายั่งยืนให้ได้ ทำให้สำเร็จ ต้องทำให้เป็น Selling Point ขององค์กร ถ้ายังโฟกัสแค่ข้างใดข้างหนึ่ง คือ คุณกำลังไปผิดทาง โฟกัสของบริษัทคือการทำธุรกิจ” __ ดร.วิบูลย์ เน้นย้ำ
เราไปโฟกัสจนกลายเป็นซีเอสอาร์ เราจะจัดการกับคาร์บอนอย่างไรให้บริษัทรวยขึ้น ถ้าเราทำได้ บริษัทถึงจะไปได้ ตอนนี้เรายังไม่สามารถบริหารจัดการคาร์บอนได้ว่าจะไปอย่างไรที่ทำให้บริษัทไปได้ แต่ตอนนี้เกาไม่ถูกที่คัน เพราะไปโฟกัสอยู่แค่เรื่องคาร์บอน
ESG ไม่ต่างอะไรกับคอมพิวเตอร์ในยุค 80 เราจะจัดการคาร์บอนอย่างไรให้องค์กรก้าวหน้าได้ นั่นคือหน้าที่ขององค์กร และผู้มีส่วนร่วมทั้งหลาย มากกว่าเราจะจัดการอย่างไรกับคาร์บอน
อรทิพย์ จาก เดลต้าฯ เสริมว่า การทำ ESG ในองค์กรทำให้ทราบว่า เราเก่งตรงไหน หรือเนกะทีฟอิมแพ็คที่เราส่งออกสู่สังคม อยู่ตรงไหนบ้าง ขั้นแรกคือต้องยอมรับตัวเองว่าเราอยู่ตรงไหน การทำ ESG สิ่งแรกที่เราต้องคำนึงถึงคือ เราส่งอิมแพ็คไหนสู่ชุมชน แรกๆ เลยเรามองว่า เรื่องของรายงานความยั่งยืน เรามองว่าเป็น ดัดจริต รีพอร์ต คือ มันพูดถึงการรักธรรมชาติ รักสัตว์ แต่ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่ามันคือโอกาสขององค์กร และทำให้ได้อย่างซื่อสัตย์ และต้องยอมรับว่า ส่วนที่ต้องรับผลกระทบทั้งกลาง และระยะยาว เขาจะเป็นอย่างไร อย่างของเรา เป็นอุตสาหกรรม เดลต้ามีการใช้แร่ธาตุ เราทำลายสิ่งแวดล้อม ต้องดูว่า เราไปเอาสิ่งพวกนี้มา ทำลายอะไรไปถึงตรงไหน เมื่อยอมรับแล้ว ดูแลผู้เกี่ยวข้องแล้ว แทนที่จะทำคนเดียว เราก็ไปให้ความรู้เขา ทำการ engagement เขา เราต้องรู้ว่าซัพพลายเออร์เราต้องไม่ไปทำอะไรที่เราไม่รู้ และเขาต้องกลับมาช่วยเราสร้างอิมแพ็คที่ดีขึ้น
การก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ จึงไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ภาควิชาการ และสังคม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
